2373 (ค. 1830) ก่อนจะได้รับการรับรองเอกราชอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ. 2382 (ค. 1839) เนเธอร์แลนด์ประกาศเลิกทาสเมื่อ ค. 1863 ก่อนจะเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เนเธอร์แลนด์ประกาศความเป็นกลางในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่างปี พ. 2457-2461 และประกาศความเป็นกลางอีกครั้งหนึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างไรก็ดี กองทัพเวร์มัคท์ ได้รุกรานและยึดครองเนเธอร์แลนด์ ในช่วงระหว่างปี พ.
1950 โดยปัจจุบันมีการใช้รถยนต์คิดเป็นราวๆครึ่งหนึ่งของการคมนาคมทั้งหมด รองลงมาเป็นการใช้จักรยานร้อยละ 25 การเดินร้อยละ 20 และการขนส่งสาธารณะร้อยละ 5 [32] เนเธอร์แลนด์มีโครงข่ายถนนยาว 139, 295 กิโลเมตร มีทางด่วนพิเศษยาว 2, 758 กิโลเมตร นับเป็นประเทศที่มีระบบถนนหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก [33] การขนส่งสาธารณะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือรถไฟ โดยเนเธอร์แลนด์มีระบบโครงข่ายรถไฟยาวกว่า 3, 013 กิโลเมตรและถักทอกันอย่างค่อนข้างหนาแน่น [34] ทำหน้าที่เชื่อมต่อเมืองใหญ่ต่างๆเข้าด้วยกัน มีสถานีทั้งหมดกว่า 400 สถานี แต่ละเส้นจะมีรถไฟวิ่งอย่างน้อย 2 ขบวนต่อชั่วโมง และเฉลี่ยอยู่ที่ 2-4 ขบวนต่อชั่วโมง [35] ในการให้บริการนั้น บริษัทรถไฟ NS ของรัฐเป็นผู้ให้บริการหลักในประเทศ และยังมีรถไฟระหว่างประเทศเชื่อมต่อกับเบลเยียม ฝรั่งเศส เยอรมนี และอังกฤษอีกด้วย จักรยาน เป็นอีกพาหนะหนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันในเนเธอร์แลนด์ มีการประมาณตัวเลขไว้ว่าชาวเนเธอร์แลนด์มีจักรยานรวมราวๆ 18 ล้านคัน [36] หรือหนึ่งคันเศษๆต่อประชากรหนึ่งคน นอกจากนี้เนเธอร์แลนด์มักจะถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่เป็นมิตรกับผู้ใช้จักรยานอยู่เป็นอันดับต้นๆร่วมกับเดนมาร์กอยู่เสมอ โดยชาวดัตช์นิยมปั่นจักรยานไปทำงานอยู่เป็นประจำ [37] เพราะมีเส้นทางที่ทำแยกไว้สำหรับจักรยานโดยเฉพาะยาวถึง 35, 000 กิโลเมตร และในหลายจุดยังมีสัญญาณไฟจราจรที่ทำไว้สำหรับจักรยานโดยเฉพาะอีกด้วย [38] ท่าเรือรอตเทอร์ดามเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ตั้งอยู่ปากแม่น้ำเมิสและแม่น้ำไรน์ซึ่งเชื่อมต่อเมืองสำคัญในหลายประเทศ ทั้งเยอรมนี เบลเยียม ฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์ อุตสาหกรรมหลักที่ใช้บริการท่าเรือแห่งนี้คืออุตสาหกรรมปิโตรเลียมและการขนส่งสินค้าทั่วไป มีเรือเดินสมุทร เรือแม่น้ำ รถไฟ และรถบรรทุกเข้ามาถ่ายเปลี่ยนสินค้าอยู่ตลอดเวลา ท่าอากาศยานอัมสเตอร์ดัมสคิโพล ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอัมสเตอร์ดัม เป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศ และเป็นท่าอากาศยานที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุดเป็นอันดับสามในยุโรป รองรับผู้โดยสารกว่า 70 ล้านคนในปี ค.
1999 และเริ่มใช้เหรียญและธนบัตรยูโรอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม ค. 2002 โดยอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 ยูโรต่อ 2. 20371 คิลเดอร์ ซึ่งเป็นสกุลเงินเก่าของชาวดัตช์ ทำเลที่ตั้งของเนเธอร์แลนด์ทำให้ประเทศกลายเป็นศูนย์กลางการค้ามาอย่างช้านาน ทั้งการค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสหราชอาณาจักรและเยอรมนี และประเทศในภูมิภาคอื่นของโลก นับตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน นอกจากนี้ ยังมีแม่น้ำสำคัญหลายสายไหลผ่านมาจากหลายประเทศในยุโรปและออกสู่ทะเลที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ทำให้หลายเมืองกลายเป็นท่าเรือ โดยเฉพาะท่าเรือรอตเทอร์ดาม (Rotterdam) ซึ่งเป็นท่าเรือที่ใหญ่และมีความสำคัญทางด้านการค้าระหว่างประเทศมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เปิดโอกาสให้ชาวเนเธอร์แลนด์ทำการค้าได้สะดวก และการค้ากับประเทศในแถบเอเชียและอเมริกามีความสำคัญกับเศรษฐกิจของชาวดัตช์มาตั้งแต่สมัยโบราณ นอกจากนี้ การที่เนเธอร์แลนด์ มีทรัพยากรธรรมชาติไม่มาก ชาวดัตช์ต้องอาศัยการเกษตรกรรม การประมง เลี้ยงสัตว์ ไม่มีแร่ธาตุสำคัญ (น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติมาค้นพบในระยะหลังๆ) ดังนั้น จึงต้องอาศัยการค้าเป็นหลัก เพื่อความอยู่รอด จนได้รับการขนานนามว่าเป็นชาตินักการค้า (Trading nation) และประสบความสำเร็จในด้านการค้ามาตลอด ข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ความเชี่ยวชาญด้านการค้านั้น ดูได้จากการค้าระหว่างประเทศของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น และได้เปรียบดุลการค้ามาตลอดหลายปีติดต่อกัน ปัจจุบัน เนเธอร์แลนด์ยังคงดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้เสมอ และยังเป็นหนึ่งในห้าประเทศที่ไปลงทุนในสหรัฐอเมริกามากที่สุด ก๊าซธรรมชาติ[แก้] แหล่งก๊าซธรรมชาติในเนเธอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติในช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 และกลายมาเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้มหาศาลหลายแสนล้านยูโรให้กับประเทศ[25] แต่การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจเนื่องจากอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติก็ไปกระทบทำให้ภาคเศรษฐกิจอื่นๆถดถอยได้เช่นกัน หรือที่รู้จักกันในชื่อ โรคดัตช์[25] แหล่งก๊าซโกรนิงเงิน เป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่ใกล้เมืองโกรนิงเงิน สร้างรายได้ให้กับประเทศมาตั้งแต่กลางทศวรรษ 1970 รวมเป็นเงินกว่า 159, 000 ล้านยูโร[26] ดำเนินการขุดเจาะโดยบริษัท Gasunie ที่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์เป็นเจ้าของ แล้วส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมต่อให้รัฐบาล บริษัท Shell และ Exxon Mobil ใช้ประโยชน์ต่อไป อย่างไรก็ตาม การขุดเจาะก๊าซส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนที่ผิวโลกมากขึ้น และบางครั้งทำให้เกิดแผ่นดินไหวสูงถึงระดับ 3.
1997 ถึง 2000 มีอัตราการเติบโตของจีดีพีสูงเฉลี่ยร้อยละ 4 ต่อปี นับว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศยุโรปแต่ลดลงเล็กน้อยหลังจากนั้น อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 2. 8 ต่อปี[23] และอัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 3. 4 ใน ค. 2019[24] ศูนย์กลางทางการเงินและธุรกิจของเนเธอร์แลนด์อยู่ที่กรุงอัมสเตอร์ดัม โดยมีตลาดหลักทรัพย์อัมสเตอร์ดัม (Amsterdam Stock Exchange หรือ AEX) เป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ ปัจจุบันถือเป็นส่วนหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์ยุโรป (Euronext) เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศแรกๆที่เริ่มใช้เงินสกุลยูโรพร้อมกับอีก 15 ประเทศ โดยเริ่มใช้ในทางบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.
ข้อมูลประเทศเนเธอร์แลนด์ - เดอะเบสท์ แนะแนวเรียนต่อประเทศ
เข้าร่วม Google Play Points - เนเธอร์แลนด์
2010 นิติบัญญัติ[แก้] เนเธอร์แลนด์ใช้ระบบสองสภาในกระบวนการนิติบัญญัติ โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 150 คนทำหน้าที่ในสภาล่างและมาจากการเลือกตั้งโดยตรงตามสัดส่วนของการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ มีการจัดเลือกตั้งทุก 4 ปีหรือเมื่อมีการยุบสภา และมีอำนาจในการเสนอและแก้ไขกฎหมาย ส่วนสมาชิกวุฒิสภาหรือสภาบนมีทั้งหมด 75 คน และมาจากการเลือกตั้งทุก 4 ปีเช่นเดียวกัน มีอำนาจในการปฏิเสธข้อกฎหมายที่สภาล่างเสนอเข้ามา นอกจากนี้ สมาชิกบางส่วนของทั้งสองสภายังเป็นสมาชิกของสภาเบเนลักซ์ระหว่างประเทศอีกด้วย ตุลาการ[แก้] รูปแบบการเมือง[แก้] สหภาพการค้าและองค์กรลูกจ้างต่างๆของเนเธอร์แลนด์จะมีการประชุมกันอย่างสม่ำเสมอเพื่อปรึกษาหารือกันด้านนโยบายการเงิน เศรษฐกิจและสังคม ก่อนจะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะการสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ และคณะกรรมการจะนำใจความไปเสนอต่อรัฐบาลต่อไป เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่เปิดเสรีทางความคิดมาอย่างช้านาน นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 เช่นการเปิดรับคริสตจักรปฏิรูปให้ได้รับการยอมรับเช่นเดียวกับนิกายคาทอลิก โปรเตสแตนท์ จนถึงการยอมรับศาสนายูดาห์ นอกจากนี้ เนเธอร์แลนด์ยังเปิดเสรีกัญชาเพื่อความบันเทิง การออกกฎหมายรองรับการค้าประเวณี สิทธิเพศทางเลือก การุณยฆาต และการแท้ง การแบ่งเขตการปกครอง[แก้] ประเทศเนเธอร์แลนด์แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 12 จังหวัด (provincie) โดยแต่ละจังหวัดแบ่งเขตการปกครองออกเป็นเทศบาล (gemeenten) รวมแล้วเป็นจำนวนกว่า 355 เทศบาล[14] แต่หากแบ่งตามเขตการบริหารจัดการน้ำจะแบ่งออกเป็น 21 เขตโดยแต่ละเขตมีคณะกรรมการน้ำ (waterschap) เป็นผู้ดูแล ซึ่งเขตการจัดการน้ำนี้มีมาก่อนการก่อตั้งประเทศเนเธอร์แลนด์เสียอีก โดยเริ่มตั้งแต่ ค.
ดัตช์ 80. 9 2. เยอรมัน 2. 4 3. อินโดนีเซีย 4. เติร์ก 2. 2 5. ซูรินาม 6. โมร็อกโก 1. 9 7. ชาวแอนทิลลีสและชาวอารูบา 0. 8 8. อื่นๆ 7. 4 นอกจากนั้นยังมีผู้อาศัยที่มีเชื้อผสมระหว่างอินโดนีเซียกับดัตช์อีกกว่า 8 แสนคน ศาสนา[แก้] ในปี ค. 2015 สำนักงานสถิติแห่งชาติเนเธอร์แลนด์ระบุว่า ร้อยละ 50. 1 ประกาศตนเองว่าไม่นับถือศาสนาใด ส่วนอีกร้อยละ 43. 8 นับถือศาสนาคริสต์ แบ่งเป็นนิกายคาทอลิกร้อยละ 23. 7 นิกายโปรเตสแตนท์(ในคริสตจักรโปรเตสแตนท์แห่งเนเธอร์แลนด์)ร้อยละ 15. 5 และนิกายอื่นๆร้อยละ 4. 6 ส่วนศาสนาอื่น มีผู้นับถืออิสลามร้อยละ 4. 9 และศาสนาอื่นๆรวมทั้งฮินดู พุทธ และยูดายอีกร้อยละ 1. 1 [48] แต่เดิม ราชวงศ์ของเนเธอร์แลนด์นับถือศาสนาคริสต์ลัทธิคาลวินก่อนจะเปลี่ยนเป็นคริสตจักรโปรเตสแตนท์แห่งเนเธอร์แลนด์ ส่วนในจังหวัดทางใต้ (นิยมหมายถึงพื้นที่ฝั่งใต้ของแม่น้ำไรน์และเมิส) เช่น นอร์ทบราบันต์และลิมบูร์ก ประชาชนนับถือนิกายโรมันคาทอลิกมาแต่โบราณ ทำให้คริสตจักรคาทอลิกยังเป็นที่ศรัทธาของประชนชนทางใต้อยู่เป็นจำนวนมาก ภาษา[แก้] ภาษาราชการของเนเธอร์แลนด์คือภาษาดัตช์ ซึ่งประชากรส่วนใหญ่ของประเทศสามารถพูดได้ ทั้งนี้ จังหวัดฟรีสลันด์ทางตอนเหนือยังยอมรับภาษาฟรีเชียตะวันตกเป็นภาษาราชการภาษาที่สอง นอกจากนี้ ยังมีการรับรองภาษาสำเนียงท้องถิ่นที่มีรากมาจากภาษาเยอรมันต่ำตามท้องที่ต่างๆที่มีชายแดนติดกับประเทศเยอรมนีอีกด้วย เช่น ทเวนเตอ เดรนเทอ และลิมบูร์ก ชาวดัตช์มีค่านิยมในการเรียนภาษาต่างประเทศมาตั้งแต่สมัยโบราณซึ่งมีบทบัญญัติไว้ในกฎหมายของเนเธอร์แลนด์อีกด้วย ประชากรกว่าร้อยละ 90 เชื่อว่าตนสามารถพูดภาษาอังกฤษได้[49] และร้อยละ 70 สามารถพูดภาษาเยอรมนีได้ ส่วนคนที่พูดภาษาฝรั่งเศสได้มีร้อยละ 29 ภาษาอังกฤษเป็นภาษาบังคับในหลักสูตรมัธยมศึกษา และหลายโรงเรียนมักจะบังคับให้เรียนภาษาต่างประเทศอีกหนึ่งภาษาตั้งแต่ช่วงสองปีแรกของมัธยมต้น กีฬา[แก้] ผู้คนกว่า 4.
6 ตามมาตราริกเตอร์ ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่ารวมราว 6. 5 พันล้านยูโร และประมาณ 35, 000 ครัวเรือนได้รับความเสียหาย[27] ประมาณการกันว่าเนเธอร์แลนด์มีแหล่งก๊าซธรรมชาติคิดเป็นร้อยละ 25 ของปริมาณก๊าซสำรองตามธรรมชาติของยุโรป[28] อุตสาหกรรมพลังงานนั้นจึงสร้างรายได้กว่าร้อยละ 11 ของจีดีพีของประเทศ(ในปี ค. 2014) อย่างไรก็ตาม การใช้ก๊าซธรรมชาติในเนเธอร์แลนด์มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากปริมาณสำรองเริ่มลดลง ความต้องการใช้ลดลง และเกิดปัญหาแผ่นดินไหวในแถบโกรนิงเงินบ่อยครั้ง นอกจากนี้ สหภาพยุโรปยังผลักดันให้ประเทศสมาชิกลดการใช้ก๊าซธรรมชาติลงและหันมาใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น แต่การเปลี่ยนแหล่งพลังงานมาใช้พลังงานหมุนเวียนแทนก๊าซนั้นยังเป็นเรื่องที่ทำได้ยากอยู่ เพราะมีปัจจัยทางเศรษฐกิจและการผูกขาดพลังงานโดยบริษัทใหญ่ในประเทศมาเกี่ยวข้อง[29] เกษตรกรรมและทรัพยากรธรรมชาติ[แก้] เนเธอร์แลนด์มีความสามารถรองรับเชิงนิเวศของโลก (biocapacity) ต่ำ กล่าวคือ มีการสร้างทรัพยากรชีวภาพขึ้นมาใหม่น้อย แต่ในทางกลับกัน ชาวดัตช์มีการเพาะปลูกที่เป็นระบบและมีระบบเกษตรกรรมที่เน้นการส่งออก ชาวดัตช์ราว 4 เปอร์เซ็นต์ประกอบอาชีพเกษตรกรรมแต่ผลิตสินค้าเกษตรได้ปริมาณสูงเกินความจำเป็นต่อการผลิตในอุตสาหกรรมอาหาร ส่งผลให้เนเธอร์แลนด์ส่งออกสินค้าเกษตรสูงเป็นอันดับหนึ่งในสหภาพยุโรปและสูงเป็นอันดับสองของโลก เป็นรองเพียงสหรัฐอเมริกา[30] สร้างรายได้กว่า 80.
{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์), Index of Economic Freedom. heritage. org ↑ "Where is the happiest place on Earth? | The Search Office Space Blog | Searchofficespace". News. searchofficespace. com. 25 May 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-11. สืบค้นเมื่อ 28 October 2011. ↑ "Gemeentelijke indeling op 1 januari 2019" [Municipalities on 1 January 2019].
อิหร่าน vs สหรัฐอเมริกา-【เซเนกัล VS เนเธอร์แลนด์ : พรีวิว ฟุตบอล
15 December 2020. pp. 343–346. ISBN 978-92-1-126442-5. สืบค้นเมื่อ 16 December 2020. ↑ "North Sea". Ministry of Defence. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-11-03. สืบค้นเมื่อ 6 March 2012. ↑ Permanent Mission of the Netherlands to the UN. "General Information". สืบค้นเมื่อ 26 June 2013. ↑ "The Reuters Style Guide". สืบค้นเมื่อ 31 March 2014.
วิเคราะห์บอลสหรัฐจาไมก้า_เนเธอร์แลนด์ออสเตรียวิเคราะห์
สหรัฐอเมริกา พบ เนเธอร์แลนด์ส: ลิงค์ถ่ายทอดสด ฟุตบอลโลก 2022
อิหร่าน vs สหรัฐอเมริกา-【ทีมชาติเนเธอร์แลนด์
↑ "Netherlands Guide – Interesting facts about the Netherlands". Eupedia. 19 April 1994. สืบค้นเมื่อ 29 April 2010. ↑ van Krieken, Peter J. (2005). The Hague: Legal Capital of the World. Cambridge University Press. ISBN 90-6704-185-8., specifically, "In the 1990s, during his term as United Nations Secretary-General, Boutros Boutros-Ghali started calling The Hague the world's legal capital. " ↑ "Netherlands". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-05-10. สืบค้นเมื่อ 2014-04-16.
↑ "The BBC News Styleguide" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2012-02-27. สืบค้นเมื่อ 31 March 2014. ↑ "Telegraph style book: places and peoples". สืบค้นเมื่อ 31 March 2014. ↑ "The Guardian style guide" (PDF). สืบค้นเมื่อ 31 March 2014. ↑ "Milieurekeningen 2008" (PDF). Centraal Bureau voor de Statistiek. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2010-02-15. สืบค้นเมื่อ 4 February 2010.
สหรัฐอเมริกาในเนเธอร์แลนด์ใหม่ ADIDAS ซูเปอร์สตารองเท้าเปลือก